เมนู

7. อรรถกถาเสลาเถรีคาถา


คาถาว่า นตฺถิ นิสฺสรณํ โลเก เป็นต้น เป็นคาถาของพระเถรี
ชื่อเสลา.
แม้พระเถรีชื่อเสลาองค์นี้ ก็ได้สร้างบุญบารมีไว้ในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้น ๆ เกิดใน
เรือนแห่งตระกูลในพระนครหังสวดี รู้ความแล้ว บิดามารดายกให้แก่กุลบุตร
ผู้มีชาติตระกูลเสมอกัน อยู่ร่วมกับกุลบุตรนั้นอย่างสุขสบายหลายร้อยปี เมื่อ
กุลบุตรนั้นตาย แม้ตนเองก็ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับแล้ว เกิดความสังเวช
แสวงหาว่าอะไรเป็นกุศล เที่ยวไปจากอารามนั้น ไปอารามนั้น จากวิหารนี้ไป
วิหารนั้น อยู่ตลอดเวลา ด้วยปรารถนาจักฟังธรรมในสำนักของสมพราหมณ์
วันหนึ่งเข้าไปยังต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระศาสดา นั่งคิดอยู่ว่า ถ้าพระผู้มี-
พระภาคพุทธเจ้า เป็นผู้ไม่มีใครเสมอ เป็นผู้เสมอด้วยผู้ที่ไม่มีใครเสมอ
เป็นผู้หาบุคคลเปรียบมิได้จริง ขอต้นโพธิ์นี้จงแสดงปาฏิหาริย์แก่ข้าพเจ้า
ต้นโพธิ์ได้สว่างโพลงในลำดับจิตตุปบาทเช่นนั้นของนางนั้นทันที กิ่งทั้งหลาย
ปรากฏเป็นทองไปหมด สว่างไสวไปทุกทิศ นางเห็นปาฏิหาริย์ดังนั้นมีใจ
เลื่อมใส แสดงความเคารพความนับถือ นั่งประคองอัญชลีไว้เหนือศีรษะอยู่
ณ ที่นั้นเอง ตลอดเจ็ดคืนเจ็ดวัน ในวันที่ 7 ได้กระทำบูชาสักการะอย่าง
โอฬาร ด้วยบุญกรรมนั้นนางท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกและมนุษยโลก ในพุทธุป-
ปาทกาลนี้ เกิดเป็นราชธิดาของพระเจ้าอาฬวีกราช มีนามว่า เสลา เเต่คน
ทั้งหลายเรียกเธอว่า อาฬวิกา เพราะเป็นธิดาของพระเจ้าอาฬวีกราช เธอรู้
ความแล้ว เมื่อพระศาสดาทรงทรมานอาฬวกยักษ์ ประทานบาตรและจีวรไว้

ในมือของอาฬวกยักษ์ เสด็จเข้าพระนครอาฬวีกับอาฬวกยักษ์นั้น เธอเป็น
ทาริกาเข้าไปเฝ้าพระศาสดากับพระราชา ฟังธรรมแล้วได้ศรัทธาเป็นอุบาสิกา.
กาลต่อมา เธอเกิดความสังเวช บวชในหมู่ภิกษุณี ทำกิจเบื้องต้น
แล้วเริ่มเจริญวิปัสสนา พิจารณาสังขารทั้งหลาย มีญาณแก่กล้าเพราะสมบูรณ์
ด้วยอุปนิสัย ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัต เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวไว้
ในอปทานว่า1
ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเป็นหญิงท่องเที่ยวอยู่ใน
พระนครหังสวดี ข้าพเจ้าต้องการกุศลจึงเที่ยวจาก
อารามนี้ไปอารามนั้น ได้เห็นต้นโพธิ์อันอุดมในวัน
กาฬปักษ์ ยังจิตให้เลื่อมใสในต้นโพธินั้นแล้วนั่งที่
โคนต้นโพธิ์ ตั้งจิตเคารพกระทำอัญชลีไว้เหนือศีรษะ
แสดงควานโสมนัส แล้วคิดอย่างนี้ในขณะนั้นว่า ถ้า
พระพุทธเจ้ามีพระคุณนับไม่ได้ ไม่มีบุคคลเปรียบ
เสมอไซร้ ก็ขอได้โปรดแสดงปาฏิหาริย์แก่เราเถิด
ขอโพธิ์ต้นนี้จงเปล่งรัศมีเถิด ทันใดนั้นเอง ต้นโพธิ์
ก็สว่างโพลงพร้อมกับที่ข้าพเจ้านึก ได้มีรัศมีเป็นสีทอง
ล้วน สว่างไสวไปทุกทิศ ข้าพเจ้านั่งที่โคนต้นโพธิ์
นั้น 7 คืน 7 วัน ครั้นถึงวันที่ 7 ข้าพเจ้าได้บูชาด้วย
ประทีป ประทีป 5 ดวงสว่างโพลงล้อมรอบอาสนะ
ครั้งนั้นประทีปของข้าพเจ้าสว่างโพลงอยู่จนพระอาทิตย์
ขึ้น ด้วยกรรมที่ทำไว้ดีนั้น และด้วยความตั้งใจอัน
แน่วแน่ ข้าพเจ้าละร่างมนุษย์แล้วได้ไปสวรรค์ชั้น

1. ขุ. 33/ข้อ 149 ปัญจทีปีกาเถรีอปทาน.

ดาวดึงส์ วิมานที่บุญกรรมสร้างให้ข้าพเจ้าอย่างสวย
งามในดาวดึงส์นั้น เรียกว่าเบญจประทีปวิมาน สูง
100 โยชน์ กว้าง 60 โยชน์ ประทีปนับไม่ถ้วนส่อง
สว่างรอบข้าพเจ้า ทั่วเทพพิภพโชติช่วงด้วยแสงประ-
ทีป คนที่หันหน้าไปทางทิศบูรพา ถ้าข้าพเจ้าปรารถนา
จะเห็น ข้าพเจ้าย่อมเห็นได้ด้วยจักษุทุกคน ทั้งเบื้อง
บนเบื้องล่างและเบื้องขวางข้าพเจ้าหวังจะเห็นกรรมดี
และกรรมชั่วที่คนทำในที่มีประมาณเท่าใด ที่มีประมาณ
เท่านั้น ย่อมไม่มีต้นไม้หรือภูเขามากางกั้น ข้าพเจ้า
ได้เป็นมเหสีของเทวราช 80 องค์ ได้เป็นมเหสีของ
พระเจ้าจักรพรรดิ 100 องค์ ข้าพเจ้าเข้าถึงกำเนิดใด ๆ
คือเป็นเทวดาหรือมนุษย์ ในกำเนิดนั้น ๆ ประทีปตั้ง
แสนส่องสว่างรอบข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจุติจากเทวโลกแล้ว
เกิดในครรภ์ของมารดา เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในครรภ์ของ
มารดา นัยน์ตาของข้าพเจ้าไม่หลับ ประทีปตั้งแสน
ดวงส่องสว่างอยู่ในเรือนคลอดของข้าพเจ้าผู้พร้อม
เพรียงด้วยบุญกรรม นี้เป็นผลแห่งประทีป 5 ดวง เมื่อ
ถึงภพสุดท้าย ข้าพเจ้ากลับได้ฉันทะที่มีในใจ เห็น
พระนิพพานซึ่งไม่มีชราไม่มีมรณะ เป็นสภาวะเยือก
เย็น พอเกิดได้ 7 ขวบ ข้าพเจ้าก็ได้บรรลุพระอรหัต
พระโคตมะพุทธเจ้าทรงทราบคุณ จึงให้ข้าพเจ้าอุป-
สมบทข้าพเจ้าเข้าฌานอยู่ในมณฑป โคนไม้ ปราสาท
ถ้ำ หรือเรือนว่างก็ตาม ประทีป 5 ดวงย่อมส่องสว่าง

ให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีทิพยจักษุบริสุทธิ์ ฉลาดในสมาธิ
บรรลุอภิญญาบารมี นี้เป็นผลแห่ง ประทีป 5 ดวง
ข้าพเจ้าอยู่จบพรหมจรรย์ทั้งปวง ทำกิจเสร็จแล้ว ไม่
มีอาสวะ ข้าแต่พระมหาวีระผู้มีจักษุ ข้าพระองค์ผู้ชื่อ
ว่าปัญจทีปา ขอถวายบังคมพระยุคลบาท ในกัปที่หนึ่ง
แสนแต่ภัทรกัปนี้ ข้าพระองค์ได้ถวายประทีปใดใน
กาลนั้น ด้วยการถวายประทีปนั้น ข้าพระองค์ไม่รู้
จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งประทีป 5 ดวง ข้าพเจ้า
เผากิเลสแล้ว ถอนภพทั้งหลายได้หมดแล้ว ตัดเครื่อง
ผูกพันเหมือนช้างพังตัดเชือก เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่
การมาเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐของข้าพเจ้าเป็น การ
มาดีแล้วหนอ ข้าพเจ้าบรรลุวิชชา 3 แล้ว ได้ปฏิบัติ
คำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้คือปฏิ-
สัมภิทา 4 วิโมกข์ 8 อภิญญา 6 ข้าพเจ้าทำให้แจ้ง
แล้ว ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว.

ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว พระเถรีอยู่ในกรุงสาวัตถี วันหนึ่งเวลาปัจฉาภัต
ออกจากกรุงสาวัตถี เข้าสู่ป่าอันธวันเพื่อต้องการพักผ่อนกลางวัน นั่งอยู่ที่
โคนไม้แห่งหนึ่ง ครั้งนั้น มารประสงค์จะกำจัดพระเถรีนั้นให้พ้นจากวิเวกจึง
แปลงรูปเข้าไปกล่าวคาถาว่า
นิพพานอันเป็นที่สลัดออกไม่นึกในโลก ท่าน
จักทำประโยชน์อะไรได้ด้วยวิเวกเล่า ท่านจงบริโภค

ความยินดีในกามทั้งหลายเถิด อย่าได้เป็นผู้เดือดร้อน
ในภายหลังเลย.

คาถานั้นมีความว่า เมื่อสอบสวนดูแม้ลัทธิทั้งปวงชื่อว่านิพพานอัน
เป็นที่สลัดออก ไม่มีในโลก. คำนี้เป็นเพียงโวหาร ที่สมณพราหมณ์ทั้งหลาย
นั้น ๆ ปฏิญาณตามความพอใจเท่านั้น เพราะฉะนั้น ท่านจักทำประโยชน์อะไร
ด้วยวิเวกเล่า คือท่านยังตั้งอยู่ในปฐมวัยที่สมบูรณ์เห็นปานนี้ จักทำประ-
โยชน์อะไรด้วยกายวิเวกนี้เล่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านจงบริโภคความยินดีในกาม
ทั้งหลาย คือจงกลับเสวยความยินดีในการเล่น ที่อาศัยวัตถุกามและกิเลสกาม
เถิด เพราะเหตุไร. บทว่า มาหุ ปจฺฉานุตาปินี อธิบายว่า ท่านอย่าได้
มีความเดือดร้อนภายหลังว่า เราประพฤติพรหมจรรย์เพื่อนิพพานใด นิพพาน
นั้นไม่มีเลย เพราะเหตุนั้นเองเราจึงไม่ได้บรรลุนิพพานนั้น ทั้งยังเสื่อมจาก
กามโภคะเสียด้วย เราพินาศหนอ.
พระเถรีได้ฟังดังนั้นคิดว่า มารที่คัดค้านพระนิพพานซึ่งประจักษ์แก่
เรา และยังเชื้อเชิญเราในกามทั้งหลาย ไม่รู้ว่าเราเป็นผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว ผู้นี้
โง่แท้ เอาเถอะ เราจักให้เขารู้เรื่องนั้นแล้วจักคุกคามเขา จึงกล่าวคาถา
2 คาถานี้ว่า
กามทั้งหลายเปรียบด้วยหอกและหลาว ครอบ
งำขันธ์ทั้งหลายไว้ ท่านกล่าวถึงความยินดีในกามใด
บัดนี้เราไม่มีความยินดีในกามนั้นแล้ว เรากำจัด
ความเพลิดเพลินในสิ่งทั้งปวงแล้ว ทำลายกองแห่ง
ความมืดได้แล้ว ดูก่อนมารผู้มีบาป ท่านจงรู้อย่างนี้
ดูก่อนมารผู้กระทำซึ่งที่สุด ตัวท่านถูกเรากำจัดแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สตฺติสูลูปมา กามา ความว่า ชื่อว่า
กามทั้งหลาย พึงเห็นว่าเหมือนหอกและเหมือนหลาวที่ติดอยู่ เพราะแทงตลอด
สัตว์ผู้ยึดมั่นนั้น. บทว่า ขนฺธา ได้แก่ อุปาทานขันธ์. บทว่า อาสํ ได้แก่
เหล่านั้น. บทว่า อธิกุฏฺฏนา ได้แก่ เป็นที่ตั้งมั่นเพื่อการตัด ความว่า เป็น
ที่ยึดถืออย่างยิ่ง เพราะสัตว์ทั้งหลาย ยึดถืออย่างยิ่ง ซึ่งขันธ์ทั้งหลายแล้ว ย่อมถูก
ประหารถูกทำลายด้วยกามทั้งหลาย. บทว่า ยํ ติวํ กามรตึ พฺรูสิ
อรตี ทานิ สา มม
ความว่า ดูก่อนมารผู้มีบาป ท่านกล่าวความยินดีใน
กามใดว่าน่ายินดี น่าเสพ บัดนี้ ความยินดีในกามนั้นเป็นเช่นกับอุจจาระ
เพราะเราไม่ยินดี เราไม่มีความต้องการอะไร ๆ ด้วยความยินดีในกามนั้น.
ด้วยบทว่า สพฺพตฺถ วิหตา นนฺทิ เป็นต้น ในคาถานั้น ท่าน
กล่าวถึงเหตุ. บทว่า เอวํ ชานาหิ ในคาถานั้น ความว่า ท่านจงรู้ว่าเรา
ละตัณหาและอวิชชาได้หมดแล้ว อธิบายว่า ดูก่อนมารผู้กระทำซึ่งที่สุด ผู้มี
ความประพฤติลามก เพราะเหตุนั้นแหละ เราจึงได้กำจัดคือเบียดเบียนท่าน
ด้วยการทำลายกำลังและก้าวล่วงวิสัย แต่ท่านจะเบียดเบียนเราไม่ได้.
มารถูกพระเถรีคุกคามอย่างนี้แล้ว ได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง. แม้
พระเถรีก็พักผ่อนอยู่ตลอดวันในป่าอันธวัน ด้วยความสุขอันเกิดแต่ผลสมาบัติ
เวลาเย็นจึงได้ไปยังที่อยู่นั่นแล.
จบ อรรถกถาเสลาเถรีคาถา

8. โสมาเถรีคาถา


มารกล่าวว่า
[437] ฐานะคือพระอรหัต อันฤาษีทั้งหลายพึง
บรรลุบุคคลเหล่าอื่นให้เจริญได้ยาก ท่านเป็นหญิงมี
ปัญญาเพียง 2 นิ้ว ไม่สามารถจะบรรลุฐานะนั้นได้.

พระโสมาเถรีกล่าวว่า
เมื่อจิตตั้งมั่นดี เมื่อญาณเป็นไปอยู่ เมื่อเราเห็น
แจ้งซึ่งธรรมโดยชอบ ความเป็นหญิงจะทำอะไรได้
เรากำจัดความเพลิดเพลินในสิ่งทั้งปวงแล้ว ทำลาย
กองแห่งความมืดได้แล้ว ดูก่อนมารผู้มีบาป ท่าน
จงรู้อย่างนี้ ดูก่อนมารผู้กระทำซึ่งที่สุด ตัวท่านถูกเรา
กำจัดแล้ว.

จบ โสมาเถรีคาถา

8. อรรถกถาโสมาเถรีคาถา


คาถาว่า ยนฺตํ อิสีหิ ปตฺตพฺพํ เป็นต้น เป็นคาถาของพระเถรี
ชื่อโสมา.
แม้พระเถรีชื่อโสมาองค์นี้ ก็ได้สร้างสมบุญบารมีไว้ในพระพุทธเจ้า
องค์ก่อนๆ สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานในภพนั้น ๆ ในกาล
แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามสิขี เกิดในตระกูลกษัตริย์มหาศาล รู้ความ
แล้วได้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าอรุณราช เรื่องอดีตทั้งหมดเหมือนเรื่องของ
พระอภยาเถรี ส่วนเรื่องปัจจุบันดังนี้ พระเถรีท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกและ
มนุษยโลกนั้น ๆ ในพุทธุปปาทกาลนี้เกิดเป็นธิดาปุโรหิตของพระเจ้าพิมพิสาร